การระบาดของโควิดในไทยมานานเกือบสองปี สร้างการเปลี่ยนแปลงต่อธุรกิจ บุคลากร และเทคโนโลยี สู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) ทำให้เทรนด์การทำงานในอนาคตแตกต่างจากเดิม
เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2564 ในงานสัมมนาเผยแพร่ความรู้ “Thailand Quality Award 2020 Winner Conference : Journeys to the Pride of World-Class Excellence” บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยคุณชนิกานต์ โปรณานันท์ รองกรรมการผู้จัดการสายงานการตลาดและปฎิบัติการ ได้ร่วมบรรยายในหัวข้อ “Future Trend for Business” โดยมีเนื้อหาสำคัญ ดังนี้
19 เดือนที่ผ่านมา ธุรกิจไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร?
จากผลสำรวจของบริษัทฯ และคู่ค้าในประเทศไทย พบว่า ในช่วงปี 2563 ที่ผ่านมานี้ บริษัทในไทยมีการเปลี่ยนแปลงแบ่งเป็น 3 หมวดใหญ่ ได้แก่
1. การเปลี่ยนแปลงของบุคลากร
ในปีที่ผ่านมา บริษัทในไทยมองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับบุคลากร โดยในอุตสาหกรรมไอทีมีบุคลากรยุคใหม่เข้ามาในอุตสาหกรรมมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ เช่น ในอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ และการเลิกจ้าง
2. การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ
ในปีที่ผ่านมา ไมโครซอฟต์เห็นว่าธุรกิจส่วนมากหันมาทำงานแบบ Work from Home, เปลี่ยนรูปแบบธุรกิจจากออฟไลน์เป็นออนไลน์, และการเกิดขึ้นของสตาร์ทอัพในกลุ่มเทคโนโลยีที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
3. การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดของธุรกิจไทยในปี 2563 คือ Digital Transformation, การนำข้อมูลเข้ามาใช้, และการสร้างแพลตฟอร์มใหม่ ๆ ทั้ง E-Commerce, Logistics, และ Delivery
“ในช่วง 19 เดือนที่ผ่านมา เป็น 19 เดือนแห่งการไม่ยอมแพ้ในหลายภาคส่วน เราเห็นคนที่มองเห็นโอกาสในวิกฤติ มองเห็นโจทย์ในปัญหา และพัฒนาความสามารถของบริษัทจนสามารถสร้างการเติบโตได้ และอีกปัจจัยบวกที่เราเห็น คือ Digital Skills ซึ่งมีการเติบโตอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา”
Digital Optimism และ Digital Transformation
การมาของโควิดทำให้ธุรกิจมีความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งเมื่อผนวกกับการที่เทคโนโลยีมีราคาถูกลง เกิดเป็นคำนิยามใหม่ว่า “Digital Optimism” ซึ่งหมายความว่าการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในองค์กรไม่ยากอย่างที่คิด สามารถนำมาเพิ่มประสิทธิภาพองค์กรในด้านต่าง ๆ เช่น ลดเวลาการทำงาน, สร้างช่องทางการขาย, เชื่อมต่อกับธุรกิจอื่น, ไปจนถึงสร้างคุณภาพชีวิตให้พนักงานได้
และสำหรับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ ไมโครซอฟต์แนะนำว่า ให้ลืมไปก่อนว่าจะเลือกเทคโนโลยีใด แต่ให้พิจารณาจากด้านอื่น แบ่งเป็น 4 ด้านใหญ่ คือ ลูกค้า, พนักงาน, การดำเนินงาน, และผลิตภัณฑ์ ว่าธุรกิจสามารถทำอะไรให้ดีขึ้นได้สำหรับ 4 เป้าหมายนี้ จากนั้นจึงเลือกว่าจะนำเทคโนโลยีใดมาปรับใช้ในองค์กร ซึ่งทางบริษัทแสดงความเห็นว่า สิ่งที่เริ่มได้ง่ายที่สุดในสายตาของธุรกิจไทยคือ การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลูกค้า
ในปี 2563 ที่ผ่านมา ธุรกิจไทยมีการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล Digital Transformation ดังนี้
จากรายงานผลสำรวจของดีลอยท์พบว่า ในปี 2563 ที่ผ่านมา ธุรกิจไทยมีการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล Digital Transformation โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้พัฒนาเว็บไซต์และแอปพลิเคชันมือถือเป็นสองเรื่องหลัก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากโควิด อย่างไรก็ดี ไมโครซอฟต์เปิดเผยว่า ธุรกิจไทยมีแนวโน้มเช่นนี้มาตั้งแต่ปี 2561 และโควิดเป็นเพียงตัวกระตุ้นให้เกิดการใช้งานมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีอีกเหตุผล คือ การประสบความสำเร็จของเว็บไซต์และแอปพลิเคชันมือถือของหลายธุรกิจ ทำให้เกิดความมั่นใจแก่บริษัทอื่น ๆ
พฤติกรรมของคนไทยในปี 2563 – 2564
การนำข้อมูลพฤติกรรมของคนไทยในปี 2563 – 2564 มาคำนวนว่าอะไรน่าจะเกิดขึ้นใน 1-2 ปีข้างหน้า จากแบบสอบถามที่จัดทำโดย DataReportal แสดงให้เห็นว่า ในปี 2564 ประเทศไทยมีการใช้โซเชียลมีเดียและอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่น่าสนใจคือ 99.0% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในไทย ใช้ผ่านโทรศัพท์มือถือ และ 98.9% ใช้ผ่านสมาร์ทโฟน ในขณะที่การใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊กอยู่ที่ 48.5% การใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่านแท็บเล็ตอยู่ที่ 34.7% เท่านั้น ซึ่งปี 2564 เป็นปีแรกที่มีการใช้งานโทรศัพท์มือถือเข้าสู่เว็บไซต์แซงหน้าคอมพิวเตอร์
อีกจุดที่น่าสนใจ คือการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านสมาร์ทวอทช์อยู่ที่ 21.9% และผ่านอุปกรณ์ VR ที่ 3.4% ซึ่งมีการเติบโตจากปี 2563 เป็นอย่างมาก ไมโครซอฟต์จึงเห็นว่าทั้งสองเพราะเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ควรจับตามอง
ในด้านการใช้งานอินเทอร์เน็ต เทรนด์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นชัดที่สุด คือการฟังวิทยุ และพอดแคสต์ ซึ่งแต่เดิมมีสัดส่วนน้อย แต่เพิ่มขึ้นมาติด Top 8 ได้ตั้งแต่ปี 2563 สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้ใช้
นอกจากนี้ยังพบว่า ในปี 2563 ผู้ใช้สมาร์ทโฟนในไทยมากถึง 50.0% ได้เลือกใช้สมาร์ทโฟนในการประชุมทางไกล
และหากพิจารณาเฉพาะธุรกิจ E-Commerce พบว่าในปีที่ผ่านมา คนไทย 33.67 ล้านคนหันมาซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์ คิดเป็นมูลค่า 7.29 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 48.2% เฉลี่ยตกที่คนละ 216 ดอลลาร์ต่อปี โดยมีหมวดสินค้าที่ถูกซื้อขายเติบโตสูงสุดคืออาหาร 74.3% ตามด้วยของเล่นและงานอดิเรก 42.4%
และในปี 2564 นี้ พฤติกรรมของคนไทยที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน คือการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันสำหรับซื้อของผ่านระบบออนไลน์ โดยมีผู้ใช้งานแอปพลิเคชันมากถึง 83.4% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในไทย เพิ่มขึ้นจากปี 2563 เป็นอย่างมาก และเบียดการสั่งซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์จนตกอันดับ Top 5 ได้สำเร็จ
7 เทรนด์การทำงานในปี 2564 ที่เจ้าของธุรกิจควรรู้
ไมโครซอฟต์รายงานว่า เทรนด์การทำงานที่เจ้าของธุรกิจควรรู้ในปี 2564 มี 7 ข้อ ดังนี้
- การทำงานต้องยืดหยุ่นได้ ไปต่อแบบ Hybrid แบบสอบถามของไมโครซอฟต์พิสูจน์แล้วว่า การทำงานแบบไฮบริดระหว่างการทำงานดั้งเดิม และการทำงานทางไกลไม่ทำให้ประสิทธิภาพการลดลงแต่กลับเพิ่มขึ้น ซึ่งหลายบริษัทได้ปรับ Policies มาเป็นการทำงานแบบไฮบริด เช่น ไมโครซอฟต์ให้พนักงานเลือกได้ว่าจะทำงานที่ออฟฟิศ หรือทำงานทางไกล และเปลี่ยนระบบชั่วโมงทำงาน ให้พนักงานเริ่มงานและเลิกงานเวลาไหนก็ได้จนกว่าจะครบ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่ง 60% ของผู้ตอบแบบสอบถามในไทยอยากทำงานไฮบริด และมีเพียง 26% ที่อยากกลับไปทำงานออฟฟิศ
- ผู้บริหารต้องเรียนรู้การสานสัมพันธ์รูปแบบใหม่ เนื่องจากผู้นำธุรกิจมักห่างเหินกับลูกจ้าง
- คนทำงานส่วนใหญ่เหนื่อยจาก Digital Overload โดย 63% ของผู้ตอบแบบสอบถามแสดงความเห็นว่าการทำงานที่บ้านเหนื่อยกว่าการทำงานที่ออฟฟิศ
- เมื่อ Gen Z เจอความท้าทายในการ engage แบบ Virtual ที่ผ่านมา คนส่วนมากเข้าใจว่า Gen Z คุ้นเคยกับคอมพิวเตอร์ แต่ในความเป็นจริง หลายองค์กรพบว่า Gen Z มีปัญหาในการทำงานทางไกล โดยปัญหาส่วนใหญ่คือไม่กล้าแสดงความเห็นแทรกขึ้นมาระหว่างทำงาน
- เมื่อวงการทำงานแคบลง เป็นอุปสรรคต่อความคิดใหม่ ๆ เนื่องจากการทำงานทางไกลทำให้พนักงานไม่ได้พบปะผู้คน ทำให้มีเครือข่ายการทำงานที่แคบลงจากเดิม
- เปิดเผย จริงใจ ในสภาพเรียล ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจ และสมดุลในชีวิตการทำงาน ไมโครซอฟต์แนะนำว่า หากไม่ใช่การประชุมที่เป็นทางการมากอย่างเช่นการประชุมผู้ถือหุ้น พนักงานไม่ควรเครียดเกินไป เช่น หากมีเสียงเด็กร้อง เสียงสุนัขเห่าเข้ามาในไมค์ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรต้องถือเป็นความผิด เพื่อช่วยลดความเครียดของพนักงาน
- ตลาดแรงงานเปลี่ยนไปเมื่อคนเก่งสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ ตลาดแรงงานในอนาคตจะเปลี่ยนไป เพราะคนเก่งทำงานจากที่ไหนก็ได้ ไม่ได้จำกัดเพียงการนั่งทำงานในออฟฟิศ ซึ่งรวมไปถึงนายจ้างก็จะมีอิสระในการจ้างงานมากขึ้น เช่น เลือกจ้างพนักงานที่พักอยู่ในต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ
8 เทรนด์การทำงานในอนาคต
ไมโครซอฟต์รายงานว่า การทำงานวิถีใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 1 – 3 ปีข้างหน้าจากเทคโนโลยีดิจิทัล มี 8 ข้อ ดังนี้
- ทำงานที่ไหนก็ได้ ทั้งในแง่เทคโนโลยี และ Policy แต่ต้องตอบโจทย์ Productivity ขององค์กร
- ผู้บริโภคเปลี่ยนมาใช้ชีวิตผ่านช่องทางดิจิทัล ทั้งการซื้อของ การเรียน ไปจนถึงการรับสื่อบันเทิง ซึ่งองค์กรควรตอบโจทย์ผู้บริโภคให้ได้
- Cloud Economy คลาวด์จะตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจ และเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็น Pay to Use ทำให้องค์กรไม่จำเป็นต้องลงทุนเทคโนโลยี แต่ใช้ผ่านคลาวด์ เช่น การเช่าระบบแทนการติดตั้งระบบของตัวเอง
- ข้อมูลที่องค์กรมีสามารถนำมาสร้างมูลค่าได้ เช่น การนำข้อมูล และ AI มาเป็นส่วนหนึ่งของแอปพลิเคชัน ซึ่งในอนาคตจะมีการนำมาใช้มากขึ้น ทั้งรถไร้คนขับ ระบบอัตโนมัติ และอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Digital Twin ที่สามารถจำลองโรงงานออกมาได้ 100%
- การร่วมมือทางธุรกิจโดยใช้เทคโนโลยีเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างธุรกิจสู่ธุรกิจ และธุรกิจสู่ลูกค้า
- การพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะทางดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งอาจรวมไปถึงการพัฒนาให้บุคลากรสามารถทำงานแอปพลิเคชัน หรือระบบอัตโนมัติง่าย ๆ ได้
- การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่เหมาะสม สร้างความมั่นใจให้องค์กร และลูกค้า
- Sustainable Development Goals (SDGs) จะเป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้อีกต่อไป บริษัทไม่อาจมุ่งเพียงการพัฒนาธุรกิจ แต่ต้องนึกถึงสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งหลายองค์กรไทยก็ได้เริ่มต้นแล้ว
ขอบคุณที่มา : MReport